วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
ลูกสุนัข ท้องเสีย …เพราะอะไร? (Dogazine)
เมื่อลูกสุนัขตัวน้อย ๆ ต้องเจ็บป่วย หนึ่งในสาเหตุที่พบมากที่สุดก็คือ ปัญหาเรื่อง “ท้องเสีย” ซึ่งพบได้ทั้งแบบรุนแรงน้อยและรุนแรงมากจนถึงขั้นเสียชีวิต วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันค่ะว่า การที่ลูกสุนัขท้องเสียนั้น มีสาเหตุจากอะไรได้บ้าง และควรจะทำการรักษาอย่างไร
ลักษณะการถ่ายอุจจาระของลูกสุนัข ที่เราสามารถพบได้มีดังนี้
อุจจาระเป็นก้อนปกติ (Normal log)
อุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea)
อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลมีเลือดปน (Brown watery diarrhea with blood)
ทั้งนี้ เวลาที่ลูกสุนัขมีอาการท้องเสีย บางตัวอาจยังร่าเริงและกินอาหารได้ แต่บางตัวก็อาจมีอาการซึม เบื่ออาหาร และอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งถ้าเป็นในกรณีหลังนี้ควรรีบพาเขาไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ
คราวนี้เรามาลองดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขท้องเสียนั้นมีอะไรได้บ้าง
1. ท้องเสียจากการมีปรสิตในทางเดินอาหาร
สาเหตุของอาการท้องเสียในลูกสุนัขที่พบได้บ่อยสาเหตุหนึ่งก็คือ เกิดจากเชื้อบิดในทางเดินอาหาร (Coccidia และ Giardia) ซึ่งปกติเราสามารถพบเชื้อบิดเหล่านี้ได้ในทางเดินอาหารของลูกสุนัขที่มีสุขภาพดี แต่เมื่อไรก็ตามที่ลูกสุนัขเกิดความเครียด เช่น เครียดจากการเดินทางไกล ต้องย้ายบ้านใหม่ ก็จะมีผลทำให้เชื้อบิดเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องเสียได้ค่ะ
สำหรับการวินิจฉัยโรค สามารถทำได้โดยการนำอุจจาระไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อเหล่านี้อยู่ และสามารถทำการรักษาได้โดยให้ยาปฏิชีวนะจำพวก Metronidazole
2. ท้องเสียแบบอุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea)
อาการท้องเสียแบบเป็นอุจจาระก้อนนิ่มกึ่งเหลว อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
เปลี่ยนนมหรืออาหารที่ลูกสุนัขกินอย่างกะทันหัน
ให้กินอาหารปริมาณเยอะเกินไป
มีความเครียดเหนี่ยวนำให้เกิดอาการท้องเสีย
ซึ่งอาการท้องเสียแบบนี้ ลูกสุนัขมักจะยังร่าเริงและกินอาหารได้ปกติ ฉะนั้นเมื่อพบว่าลูกสุนัขมีลักษณะอุจจาระแบบนี้ ก็ควรลองมองหาสาเหตุและกำจัดสาเหตุนั้นออกไป ร่วมกับให้ยาจำพวก Kaolin / Pectin
3. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
การที่ลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้นับว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรง และลูกสุนัขมักมีอาการป่วยร่วมด้วย เช่น อาเจียน ปวดท้อง มีภาวะร่างกายขาดน้ำ จนถึงอาจเสียชีวิตได้ มักเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำได้โดยการงดอาหาร และป้อนน้ำเกลือแร่ทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป หลังจากนั้นให้รีบนำลูกสุนัขพบสัตวแพทย์โดยเร็ว เพราะจำเป็นจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อ และในรายที่ขาดน้ำรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดด้วย
4. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลและมีเลือดปน
ถ้าลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้ ต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะลูกสุนัขอาจเสียชีวิตได้ ภายใน 24-48 ชั่วโมง ท้องเสียแบบนี้มักเกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสลำไส้อักเสบ (Parvovirus และ Coronavirus) และมักเกิดในลูกสุนัขที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
เพราะฉะนั้น หากเราเริ่มเลี้ยงลูกสุนัขสักตัว เราจึงควรที่จะต้องทำการถ่ายพยาธิและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนตามที่สัตวแพทย์แนะนำ และเมื่อใดก็ตามที่ลูกสุนัขมีอาการถ่ายเหลวก็ควรที่จะต้องรีบหาสาเหตุเพื่อแก้ไข และพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำหรือทำการรักษาอย่างเร่งด่วนนะคะ ก่อนที่จะต้องเสียเจ้าตัวเล็กไปก่อนวัยอันควร
ที่มา http://fypom.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2/
ลักษณะการถ่ายอุจจาระของลูกสุนัข ที่เราสามารถพบได้มีดังนี้
อุจจาระเป็นก้อนปกติ (Normal log)
อุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea)
อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลมีเลือดปน (Brown watery diarrhea with blood)ทั้งนี้ เวลาที่ลูกสุนัขมีอาการท้องเสีย บางตัวอาจยังร่าเริงและกินอาหารได้ แต่บางตัวก็อาจมีอาการซึม เบื่ออาหาร และอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งถ้าเป็นในกรณีหลังนี้ควรรีบพาเขาไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ
คราวนี้เรามาลองดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขท้องเสียนั้นมีอะไรได้บ้าง
1. ท้องเสียจากการมีปรสิตในทางเดินอาหาร
สาเหตุของอาการท้องเสียในลูกสุนัขที่พบได้บ่อยสาเหตุหนึ่งก็คือ เกิดจากเชื้อบิดในทางเดินอาหาร (Coccidia และ Giardia) ซึ่งปกติเราสามารถพบเชื้อบิดเหล่านี้ได้ในทางเดินอาหารของลูกสุนัขที่มีสุขภาพดี แต่เมื่อไรก็ตามที่ลูกสุนัขเกิดความเครียด เช่น เครียดจากการเดินทางไกล ต้องย้ายบ้านใหม่ ก็จะมีผลทำให้เชื้อบิดเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องเสียได้ค่ะ
สำหรับการวินิจฉัยโรค สามารถทำได้โดยการนำอุจจาระไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อเหล่านี้อยู่ และสามารถทำการรักษาได้โดยให้ยาปฏิชีวนะจำพวก Metronidazole
2. ท้องเสียแบบอุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea)
อาการท้องเสียแบบเป็นอุจจาระก้อนนิ่มกึ่งเหลว อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
เปลี่ยนนมหรืออาหารที่ลูกสุนัขกินอย่างกะทันหัน
ให้กินอาหารปริมาณเยอะเกินไป
มีความเครียดเหนี่ยวนำให้เกิดอาการท้องเสียซึ่งอาการท้องเสียแบบนี้ ลูกสุนัขมักจะยังร่าเริงและกินอาหารได้ปกติ ฉะนั้นเมื่อพบว่าลูกสุนัขมีลักษณะอุจจาระแบบนี้ ก็ควรลองมองหาสาเหตุและกำจัดสาเหตุนั้นออกไป ร่วมกับให้ยาจำพวก Kaolin / Pectin
3. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
การที่ลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้นับว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรง และลูกสุนัขมักมีอาการป่วยร่วมด้วย เช่น อาเจียน ปวดท้อง มีภาวะร่างกายขาดน้ำ จนถึงอาจเสียชีวิตได้ มักเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำได้โดยการงดอาหาร และป้อนน้ำเกลือแร่ทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป หลังจากนั้นให้รีบนำลูกสุนัขพบสัตวแพทย์โดยเร็ว เพราะจำเป็นจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อ และในรายที่ขาดน้ำรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดด้วย
4. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลและมีเลือดปน
ถ้าลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้ ต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะลูกสุนัขอาจเสียชีวิตได้ ภายใน 24-48 ชั่วโมง ท้องเสียแบบนี้มักเกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสลำไส้อักเสบ (Parvovirus และ Coronavirus) และมักเกิดในลูกสุนัขที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
เพราะฉะนั้น หากเราเริ่มเลี้ยงลูกสุนัขสักตัว เราจึงควรที่จะต้องทำการถ่ายพยาธิและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนตามที่สัตวแพทย์แนะนำ และเมื่อใดก็ตามที่ลูกสุนัขมีอาการถ่ายเหลวก็ควรที่จะต้องรีบหาสาเหตุเพื่อแก้ไข และพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำหรือทำการรักษาอย่างเร่งด่วนนะคะ ก่อนที่จะต้องเสียเจ้าตัวเล็กไปก่อนวัยอันควร
ที่มา http://fypom.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2/
อาหารอันตรายสำหรับน้องหมา
รายการอาหารข้างล่างนี้เป็นรายชื่อที่เป็นอันตรายกับน้องหมา
และอาจรวมถึงน้องแมวก็ได้นะคะ
(แอบกระซิบ) อ่านรายการข้างล่างแล้วก็แอบสะดุ้งค่ะ
ตายล่ะ!อี๊ดให้น้องหมาที่บ้านกินเกือบทุกอย่างเลยค่ะ
แบบว่าคนกินอะไร หมาก็กินด้วย คนชิ้นนึง หมาชิ้นนึง
ต่อไปคงต้องระวังแล้วล่ะค่ะ…
Choclate ( Deadly ) เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง
อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ
ช็อคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษ
น้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน
ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า
Bones ( Dangerous to deadly ) เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น
สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป
แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นๆเป็นอันตราย
อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร
ถ้าไปทำปัญหาให้กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก
อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันที
หากสังเกตเห็นสุนัขมีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก
หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ
Liver ( Dangerous ) เนื่องจากตับมีไวตามิน A มากมีประโยชน์ต่อสุนัข
แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก
ถ้าสุนัขได้รับไวตามินAจากอาหารเสริมเพียงพอตามกำหนดแล้ว
ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก
Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous ) เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก
เป็ด ไก่ ที่ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้
จะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้
Raw eggs ( Dangerous ) ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง
แต่ให้ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัว
ที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก
Onion ( Dangerous ) หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง
ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ
ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์
ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม
หัวใจเต้นเร็ว (เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemia)
Milk ( Disagreeable ) ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose
ซึ่งในสุนัขบางตัวไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้
ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โยเกิรต
แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง
ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้นไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที
Pork ( Disagreeable ) เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ
ถ้าให้สุนัขกินมากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน
นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วย
Mushroom ( Disagreeable to Deadly ) เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข
แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ไม่ควรให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และกลิ่นของเห็ด
เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ
ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้
ขอบคุณ Thaipomeranian.com
และอาจรวมถึงน้องแมวก็ได้นะคะ
(แอบกระซิบ) อ่านรายการข้างล่างแล้วก็แอบสะดุ้งค่ะ
ตายล่ะ!อี๊ดให้น้องหมาที่บ้านกินเกือบทุกอย่างเลยค่ะ
แบบว่าคนกินอะไร หมาก็กินด้วย คนชิ้นนึง หมาชิ้นนึง
ต่อไปคงต้องระวังแล้วล่ะค่ะ…
Choclate ( Deadly ) เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง
อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ
ช็อคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษ
น้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน
ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า
Bones ( Dangerous to deadly ) เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น
สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป
แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นๆเป็นอันตราย
อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร
ถ้าไปทำปัญหาให้กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก
อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันที
หากสังเกตเห็นสุนัขมีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก
หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ
Liver ( Dangerous ) เนื่องจากตับมีไวตามิน A มากมีประโยชน์ต่อสุนัข
แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก
ถ้าสุนัขได้รับไวตามินAจากอาหารเสริมเพียงพอตามกำหนดแล้ว
ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก
Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous ) เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก
เป็ด ไก่ ที่ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้
จะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้
Raw eggs ( Dangerous ) ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง
แต่ให้ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัว
ที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก
Onion ( Dangerous ) หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง
ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ
ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์
ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม
หัวใจเต้นเร็ว (เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemia)
Milk ( Disagreeable ) ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose
ซึ่งในสุนัขบางตัวไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้
ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โยเกิรต
แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง
ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้นไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที
Pork ( Disagreeable ) เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ
ถ้าให้สุนัขกินมากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน
นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วย
Mushroom ( Disagreeable to Deadly ) เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข
แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ไม่ควรให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และกลิ่นของเห็ด
เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ
ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้
ขอบคุณ Thaipomeranian.com
โรคประจำที่พบบ่อยในปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)
สุนัขแต่ละพันธุ์มีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป เช่น พันธุ์โกลเด้น ก็มีปัญหาโรคข้อสะโพกเสื่อม คอกเกอร์ สเปเนียล ก็พบปัญหาเรื่องโรคหูอักเสบ พูเดิ้ลก็มีปัญหาโรคหัวใจโต ดัลเมเชี่ยนก็เจอโรคหูหนวก ดัชชุนก็มีปัญหาโรคหมอนรองกระดูก ฯลฯ ปอมเมอเรเนียนก็มีปัญหาเหมือนกัน โดยมี 4 โรคที่ปอมเมอเรเนียนพึงสังวรไว้ คือ
1. โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือสุนัขปอมเมอเรเนียน มีอากรเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด
วิธีป้องกัน
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมของเราอ้วนเกินไป
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมเมอเรเนียนโดดลงจากที่สูง
- ไม่ควรปล่อยให้ สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์
- อย่าเลี้ยงสุนัขปอมเมอเรเนียนในพื้นลื่นๆ เช่น พื้นหินขัด, หินอ่อน หรือแกรนิต
2. โรคหลอดลมตีบ เป็นอีกโรคมักพบบ่อยๆในปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น
วิธีป้องกัน
อย่าปล่อยให้สุนัขปอมเมอเรเนียนอ้วนเกินไป พยายามอย่าให้ปอมเมอเรเนียนออกกำลังกายมากในวันที่ ๆ อากาศร้อนและชื้นเกินไป
ใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนที่จะใช้สายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ
3. ปัญหาโรคขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พบบ่อยในปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA, ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา เรียกว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน
วิธีป้องกัน
ควรรีบพาสุนัขที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อรีบแก้ปัญหาโดยเร็ว
4. โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือนสุนัขพันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป่
วิธีแก้ไข
ผ่าตัดแก้ไขหนังตาม้วนเข้า
ขอบคุณข้อมูลจาก สื่อรักสัตว์เลี้ยง
1. โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือสุนัขปอมเมอเรเนียน มีอากรเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด
วิธีป้องกัน
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมของเราอ้วนเกินไป
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมเมอเรเนียนโดดลงจากที่สูง
- ไม่ควรปล่อยให้ สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์
- อย่าเลี้ยงสุนัขปอมเมอเรเนียนในพื้นลื่นๆ เช่น พื้นหินขัด, หินอ่อน หรือแกรนิต
2. โรคหลอดลมตีบ เป็นอีกโรคมักพบบ่อยๆในปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น
วิธีป้องกัน
อย่าปล่อยให้สุนัขปอมเมอเรเนียนอ้วนเกินไป พยายามอย่าให้ปอมเมอเรเนียนออกกำลังกายมากในวันที่ ๆ อากาศร้อนและชื้นเกินไป
ใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนที่จะใช้สายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ
3. ปัญหาโรคขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พบบ่อยในปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA, ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา เรียกว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน
วิธีป้องกัน
ควรรีบพาสุนัขที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อรีบแก้ปัญหาโดยเร็ว
4. โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือนสุนัขพันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป่
วิธีแก้ไข
ผ่าตัดแก้ไขหนังตาม้วนเข้า
ขอบคุณข้อมูลจาก สื่อรักสัตว์เลี้ยง
10 เรื่องของ ปอมเมอเรเนียน ที่อยากให้คุณรู้
![]()
1. แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับต้นกำเนิดสายพันธุ์ แต่เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่อยู่ในตระกูลสปิทซ์ (Spitz) ซึ่งสุนัขสายพันธุ์ต่าง ๆ ในกลุ่มนี้ จะมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันคือ มีเส้นขนที่ยาวและหนา ส่วนหางม้วยเข้าหาแผ่นหลัง
2. ชื่อสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนนั้น ตั้งตามชื่อแคว้นปอมเมอเรเนีย ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีและโปแลนด์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แคว้นปอมเมอเรเนีย ไม่ได้เป็นถิ่นกำเนิดของสุนัขสายพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน แต่เป็นถิ่นที่นิยมเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ไว้ใช้งานมาตั้งแต่สมัยโบราณ
3. เห็นตัวเล็กน่ารักแบบนี้ เชื่อไหมว่า ปอมเมอเรเนียน ในอดีตเป็นสายพันธุ์สุนัขใช้งานที่มีน้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม จนเมื่อชาวยุโรปเริ่มนิยมเลี้ยง ปอมเมอเรเนียน ในฐานะสัตว์เลี้ยงประจำบ้านมากขึ้น อดีตหมาใหญ่ก็ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 10 กิโลกรัม และค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือประมาณ 3 กิโลกรัม ดังที่เห็นในปัจจุบัน
4. ปอมเมอเรเนียน ได้เข้าสู่สังคมชั้นสูงแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษเป็นครั้งแรกโดยการนำเข้าของาชินีชาร์ล็อต มเหสีของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ซึ่งสุนัข ปอมเมอเรเนียน ในสมัยนั้นยังคงเป็นสุนัขนาดกลาง หน้าตาไม่ได้น่ารักจิ้มลิ้มอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แต่เมื่อปอมเมอเรเนียน ได้ปรากฎตัวในฐานะสุนัขของพระราชินี กลุ่มคนชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษจึงเริ่มให้ความสำคัญกับสุนัขสายพันธ์นี้เพิ่มมากขึ้น
5. Marco เป็นชื่อของปอมเมอเรเนียนตัวน้อยที่เป็นดาวเด่นของราชวงศ์อังกฤษในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ซึ่งได้มาเมื่อครั้งที่ พระองค์เสด็จไปเยือนนครฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ในปี 1888 Macro เป็นสุนัขขนาดเล็กกะทัดรัด ขนฟู ความน่ารักของ ปอมปอมตัวน้อยเป็นจุดเริ่มต้นของการเพาะพันธุ์ปอมเมอเรเนียนขนาดเล็กขึ้นอย่างเป็นระบบและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
6. เมื่อได้รับเกียติให้เข้าสู่สังคมชั้นสูง ปอมเมอเรเนียนจึงได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ทั้งในด้านขนาดร่างกายและกิริยาท่าทาง น้องหมาผู้มีเกียรติที่อยู่เคียงข้างบรรดาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีชาวอังกฤษนั้นจะเชิดคอสูง ยืนด้วยปลายเท้า ดูมีบุคลิกสมกับเป็นผู้ดีด้วยเช่นกัน
7. ถึงแม้จะเคยเป็นน้องหมาผู้ดีในแวดวงชนชั้นสูง หรือจะเป็นคุณหนูตัวน้อยประจำบ้าน แต่ปอมเมอเรเนียนก็ไม่เคยลืมสัญชาตญาณการเป็นสุนัขใช้งานในเขตหนาว พวกเขายังคงคล่องแคล่ว ว่องไว ปรับตัวได้ดีเยี่ยม กล้าหาญและซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก
8. ปอมเมอเรเนียนสามารถเข้ากับเด็กและสุนัขสายพันธุ์อื่นได้เป็นอย่างดี แต่หากครอบครัวไหนมีเจ้าปอมน้อยเป็นเจ้าถิ่น การรับสมาชิกใหม่ก็ควรให้เวลาน้องปอมได้ปรับตัวระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ด้วยขนาดร่างกายที่เล็กบางของปอมเมอเรเนียน ก็อาจได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกับเพื่อนต่างขนาดได้ง่าย ในระยะแรกที่พบหน้ากันเจ้าของจึงควรเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
9. ปอมเมอเรเนียนจะมีการผลัดขนจำนวนมากเป็นประจำทุกปี โดยสุนัขเพศผู้จะผลัดขนปีละครั้ง ส่วนเพศเมียปีละสองครั้งก่อนรอการเป็นสัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนจะเลือกเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้
10. ปัญหาสุขภาพของน้องหมาที่คนรักปอมฯ ควรจำใส่ใจ ได้แก่ ปัญหากระดูกสะบ้าเคลื่อน หลอดลมตีบ ขนร่วงจากสาเหตุต่าง ๆ ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และบางครั้งอาจพบปัญหาฟันร่วงก่อนวัยอันควร
เพราะความรักจากเพียงแรกพบอาจไม่เพียงพอสำหรับการอยู่ร่วมกัน ยังต้องอาศัยความเข้าใจ ความเอื้ออาทร รวมไปถึงประสบการณ์จากการได้ใช้เวลาร่วมกัน ที่จะช่วยส่งความรู้สึกฝากไปถึงเจ้าปอมเมอเรเนียนตัวน้อย ให้ได้รับรู้ว่าคนที่เขารักมากที่สุดก็รักเขามากเช่นกัน
|
สุนัขพันธุ์ปอมเมเรเนียน2
| ปอมเมอเรเนียน |
| ตัวเล็ก เห่าเก่ง และสวยงาม |

| ||
| สุนัขปอมเมอเรเนียนหรือเรียกสั้นๆ ว่า น้องปอมอยู่ในกลุ่ม Toy Group มีขนาดกระทัดรัด หลังสั้น ขนชั้นล่างอ่อนนุ่ม แน่นทึบ ขนชั้นนอก ยาว ฟู มีมาก ค่อนข้างหยาบ ตำแหน่งโคนหางสูง ขนหางแน่น เป็นพวง หางวางราบบนหลัง ปอมส่วนใหญ่ ท่าทางตื่นตัว ร่าเริง อยากรู้อยากเห็น แสดงความฉลาดให้เห็นได้เสมอ มีย่างก้าวที่คล่องแคล่ว สง่างาม และมั่นคง | ||
| ||
บรรพบุรุษของน้องปอมย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นน้องปอมในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์
ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น
แสดงว่าสุนัขพันธุ์ปอมนี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก
ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์ ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมฯ ที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
| ||
| ||
| น้องปอมส่วนใหญ่มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง | ||
|
| ||||||||||||
แชมพูที่ใช้อาบน้ำให้สุนัขควรเป็นแชมพูที่ผลิตโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อการระคายเคืองของผิวหนังและสภาพขน ในขณะอาบน้ำอาจจะใช้สำลีอุดรูหูทั้งสองข้างก่อนอาบ หรือใช้มือกดใบหูทั้งสองข้างให้หลุบลง เวลาอาบน้ำควรราดน้ำให้เปียกทั่วตัวก่อนแล้วจึงเทแชมพูลงไปแล้วเกาให้ทั่วลำตัว หลังจากนั้นก็ใช้น้ำล้างสบู่ออกให้สะอาดหมดจด เมื่ออาบเสร็จก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งพร้อมกับแปรงขนทุกครั้ง การเช็ดตัวให้แห้งเป็นการป้องกันความอับชื้นซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค และช่วยป้องกันโรคปอดบวมได้ ส่วนในด้านของการออกกำลังกายนั้น การออกกำลังกายมากๆ หรือใช่พื้นที่เยอะๆ ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับปอมเมอเรเนียน แต่เราควรหันมาใส่ใจสักนิด ควรเริ่มพาปอมฯออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กเพราะจะสามารถควบคุมเวลาในการออกกำลังกายไ ด้ ควรให้เดินเล่นวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 นาที ถ้าปล่อยให้วิ่งเล่นกลางแจ้งนานเกินไป(โดยเฉพาะเวลาที่แดดจัด)อาจทำให้สุนัขเกิดอาการช็อค อาการนี้อาจส่งผลให้สุนัขเสียชีวิตได้
การพาน้องปอมไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ปอมท้องไม่ผูก และสามารถป้องกันโรคได้อีกหลายๆชนิด การที่สุนัขได้วิ่งด้วยความเร็วและสนุกสนาน มีผลดีต่อหัวใจ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ต่อมขับต่างๆ ได้อุ่นเครื่องจนร้อน เมื่อกลับจากการออกกำลังกายก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งถ้าได้อาหารที่ถูกต้องยิ่งทำให้สุนัขมีสัดส่วนที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงมันจะมี step การเคลื่อนไหวที่ดี และสวยงาม อย่างไรก็ดีไม่ควรให้สุนัขออกกำลังกายหลังจากที่กินอาหารอิ่มเต็มที่
| ||
| ||
| เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่มีเวลาเอาใจใส่ดูแลเรื่องความสวยงามของสุนัข จำเป็นต้องมีการดูแลตัดแต่งขนของสุนัขอยู่เสมอเพื่อความสวยงาม นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีพื้นที่ในการเลี้ยงที่จำกัด | ||
| ||
| N/A | ||

| มาตรฐานสายพันธุ์ |
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ที่มา : puppydogweb.com | ||||||||||||||||||||||||||||
| ภาพประกอบ : puppydogweb.com en.wikipedia.org | ||||||||||||||||||||||||||||
สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)
ที่มา http://women.sanook.com/pets/breed/dogs_44563.php
เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์ ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)
ที่มา http://women.sanook.com/pets/breed/dogs_44563.php
วิธีดูเลน้องปอมเมอเรเนียน
1.อาบน้ำปอมอย่างถูกวิธีการที่จะรักษาขนของสุนัขปอมเมอเรเนียนให้สวยงามนั้นทำได้ง่ายมาก เจ้าของสุนัขใหม่ๆส่วนใหญ่จะเชื่อว่าจะต้องอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์และต้องคอยแปรงข
นตลอด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและจะทำให้ขนของเค้าเสียอีกด้วย
การอาบน้ำบ่อยเกินไปจะทำให้ขนของปอมเมอเรเนียนแห้ง บาง และทำให้ขนร่วงตลอดเวลา การใช้โลชั่นและน้ำยาทำความสะอาดชนิดต่างๆติดต่อกันก็จะทำให้ผิวหนังอักเสบได้ ส่วนใหญ่แม้ว่าขนชั้นนอกจะสกปรกแล้วแต่ขนชั้นในก็จะยังคงสะอาดอยู่ ด้งนั้นการแปรงขนเพียงสัปดาห์ละครั้งและใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่อุ่นๆ ลูบขน จากนั้นจึงเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอุ่นๆ ซึ่งบิดพอหมาดๆ ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้ขนของปอมเมอเรเนียนอยู่ในสภาพดีแล้ว
ลูกสุนัข เราไม่ควรอาบน้ำให้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดให้แห้งเช็ดความสกปรก หรือใช้แปรงและหวีขนเบาๆ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำความสะอาดลูกสุนัข
การอาบน้ำลูกสุนัขควรเริ่มเมื่ออายุได้ 3 เดือนขึ้นไป ควรพิจารณาว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใดมีเห็บหมัดติดมาด้วยหรือไม่ หากมีก็อาบน้ำให้ลูกสุนัขเพื่อป้องกันโรคผิวหนังและการระบาดของเห็บหมัด
สุนัขโต สามารถอาบน้ำได้ทุกๆ 1-2 สัปดาห์หรือเมื่อคุณเห็นว่ามีเนื้อตัวที่สกปรก การอาบน้ำควรอาบในเวลากลางวันที่มีแดดออก แต่ไม่ถึงกับเป็นแดดที่จัดเกินไป ควรเป็นแสงแดดอ่อนๆ ไม่หนาว ไม่มีฝนตก คือสามารถให้สุนัขผึ่งตัวให้แห้งหรือใช้เครื่องเป่าขนของสุนัขให้แห้งโดยเลือกระดับค
วามร้อนต่ำ
แชมพูที่ใช้อาบน้ำให้สุนัขควรเป็นแชมพูที่ผลิตโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อการระคายเคืองของผิวหนังและสภาพขน ในขณะอาบน้ำอาจจะใช้สำลีอุดรูหูทั้งสองข้างก่อนอาบ หรือใช้มือกดใบหูทั้งสองข้างให้หลุบลง เวลาอาบน้ำควรราดน้ำให้เปียกทั่วตัวก่อนแล้วจึงเทแชมพูลงไปแล้วเกาให้ทั่วลำตัว หลังจากนั้นก็ใช้น้ำล้างสบู่ออกให้สะอาดหมดจด เมื่ออาบเสร็จก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งพร้อมกับแปรงขนทุกครั้ง การเช็ดตัวให้แห้งเป็นการป้องกันความอับชื้นซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค และช่วยป้องกันโรคปอดบวมได้
2.การดูแลขนลูกสุนัข
ในขณะที่ลูกสุนัขปอมเมอเรเนียนมีอายุอยู่ระหว่าง 6-8 สัปดาห์ ขนของเค้าจะหนาปุกปุยจนแทบมองไม่เห็นใบหู เมื่ออายุได้ 3 เดือนขนจะมีลักษณะขยุกขยุยและจะสลัดขนชุดแรกเพื่อที่จะเตรียมสลัดขนชุดที่สองตอนอายุ
ได้ 4-5 เดือน หลังจากสลัดขนชุดที่สองแล้ว ขนของปอมเมอเรเนียนจะสั้น และจะเริ่มปุกปุยอีกครั้งเมื่ออายุราว 6 เดือน เมื่อครบ 10 เดือนขนจะเริ่มหนาและชี้ออก ขณะที่ผิวสัมผัสและสีของเส้นขนจะค่อยๆ ปรับสภาพจนเข้าที่และจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
อุปกรณืเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นในการดูแลรักษาขนของลูกสุนัขให้อยู่ในสภาพดี คือแปรงสำหรับแปรงขนสุนัข ก่อนอื่นให้ใช้หวี หวีขนที่ติดพันกันออกเสียก่อน ถ้าหากคุณได้แปรงขนเค้าเป็นประจำ ลูกสุนัขก็จะมีขนที่สุขภาพดี นุ่มสลวยไม่พันกัน
3.การแปรงขนต้องเลือกขนแปรง
สำหรับปอมเมอเรเนียนนั้นเป็นขนแบบสองชั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับขนของมันพอสมควร เพราะขนของปอมเมอเรเนียนเป็นขนที่พันกันได้ง่าย เราควรใช้แปรงซี่ห่างในการแปรง หวีวันละครั้ง การแปรงขนให้แปรงจากบริเวณกระหม่อมลงไปที่หางแล้วแปรงย้อนกลับมาที่ศีรษะอีกครั้ง เพื่อให้ขนฟูตั้งชัน จากนั้นจับเค้านอนบนตักแล้วแปรงขนบริเวณท้องและขา การหวีต้องหวีให้ถึงโคนขน การหวีแบบนี้จะสามารถขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อยู่บริเวณใต้ขนออกมา ทำให้ขนเก่าร่วงออกไป พร้อมที่จะให้ขนใหม่แทนที่ ทำให้ปอมเมอเรเนียนของคุณมีขนที่หนานุ่ม และการแปรงขนยังมีผลดีต่อสุขภาพของสุนัขอีกด้วยเพราะจะป็นการนวดต่อมน้ำมันที่โคนขนข
ับน้ำมันออกมาเพื่อเคลือบขนได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย
4.การตัดแต่งขน
ขนของปอมเมอเรเนียนจะต้องตัดให้สั้นเรื่อยลงไปถึงโคนหาง เมื่อตัดแล้วหางจะวางราบอยู่บนแผ่นหลัง ขนที่หร็อมแหร็มจะต้องตัดให้สั้นเสมอกัน ขนยาวๆบางส่วนบริเวณสองข้างของอวัยวะขับถ่ายจะต้องตัดออกเพื่อสุขอนามัยที่ดี
ขนที่เท้าหน้าควรตัดให้สั้นเหมือน"เท้าแมว"ซึ่งมีลักษณะกลมมนและเรียบ ขนสั้นๆที่ขาหน้าควรตัดเฉพาะด้านข้างและด้านหลัง ด้านหน้าไม่ควรตัด ส่วนขนที่ขาหลังก็ตัดในลักษณะเดียวกับขาหน้า โดยตัดให้สั้นถึงข้อเท้าข้อแรก
ส่วนที่ยากที่สุดในการตัดขนก็คือ"ใบหู"ให้จับใบหูด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ โดยใช้เล็บป้องกันส่วนที่เป็นเนื้อเยื้อเอาไว้ให้มั่น แล้วจึงใช้กรรไกรปลายทู่ตัดขนที่ยื่นออกมาจากปลายเล็บไปตามขวาง โดยตัดขนด้านในของใบหูประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว ส่วนด้านนอกตัดออกประมาณเศษหนึ่งส่วนสามหรือครึ่งนิ้ว
ไม่ควรปล่อยให้ปอมเมอเรเนียนมีหนวดมากเกินไป เพราะจะดูไม่สะอาดและไม่น่ารักเท่าที่ควร วิธีการตัดหนวดให้ใช้นิ้วต่างๆของคุณบังตาเจ้าตัวเล็กเอาไว้ แล้วค่อยๆตัดเล็มออกด้วยกรไกรแบบปลายทู่เพื่อป้องกันอันตรายหากเค้าเกิดสบัดหัวขึ้นม
า บริเวณตาและใต้ขากรรไกรควรระมัดระวังมาเป็นพิเศษ
5.การตัดเล็บ
สุนัขที่เลี้ยงโดยปล่อยให้วิ่งเล่นตามสนามหญ้าหรือพื้นปูน โดยทั่วไปแล้วเล็บจะสึกหรอไปเองจากการเสียดสีกับพื้น ส่วนสุนัขที่เลี้ยงในบ้านอย่างปอมเมอเรเนียนเล็บจะมีโอกาสยาวมากกว่า การตัดเล็บควรจะตัดหลังจากการอาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บที่เปียกน้ำอยู่จะอ่อน และจะตัดง่ายกว่าธรรมดา ควรใช้กรรไกรสำหรับตัดเล็บสุนัขโดยเฉพาะ วิธีการตัดที่ทำได้ง่ายและปลอดภัยสำหรับมือใหม่หัดตัดคือพยายามตัดเฉพาะที่ปลายเพียง
เล็กน้อย ให้ตัดที่ละนิดเข้าไป ไม่ควรเกิน 3 มิลลิเมตร ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล็บเพราะส่วนนั่นคือส่วนที่มีเลือดมาหล่อเลี้
ยง แต่ถ้าเผลอไปโดนเข้าก็ให้ใช้สำลีชุบทิงเจอร์ไอโอดีนกดไว้ที่ปลายเล็บแน่นๆ สักพัก เลือดก็จะหยุดไหลเอง
6.การดูแลหู
ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่หูตั้งจึงไม่ต้องดูแลเอาใจใส่หูเท่าที่ควร หากสังเกตแล้วว่าสุนัขมีหูที่สกปรกมากแล้ว ก็ควรใช้สำลี หรือผ้านุ่มๆเช็ดบริเวณใบหู และรูหูส่วนนอกๆได้เป็นประจำ หากพบว่ามีสิ่งสกปรก หรือเห็บหมัด เกาะติดอยู่ในช่องหูซึ่งเอาออกอยาก ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำยาทำความสะอาดหูสุนัข โดยการหยอดน้ำยานี้ลงไปในหูของสุนัข ทิ้งไว้สักประมาณ 5 นาที สิ่งสกปรกต่างๆจะอ่อนตัวลง และสามารถใช้แท่งสำลีเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย การทำความสะอาดหูควรทำหลังจากที่อาบน้ำให้กับสุนัขแล้ว เพื่อเป็นการตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลืออยู่ในรูหูอยู่หรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เพื่อเป็นการป้องกันโรคหูอักเสบด้วย แต่อย่าพยายามทำความสะอาดลึกลงไปที่หูชั้นในเป็นอันขาด เพราะเป็นบริเวณที่สำคัญและอ่อนบาง ควรให้สัตวแพทย์เป็นคนดูแลจะดีกว่า
7.การดูแลดวงตา
สุนัขที่ดีจะมีแววตาที่แจ่มใส ไม่ขุ่นมัว แดงช้ำ อักเสบ หรือมีขี้ตาเกรอะกรัง ถ้าสังเกตเห็นว่าสุนัขมีอาการตาแดงและมีน้ำตาไหลเป็นระยะๆ อาจเกิดจากการอักเสบเพราะผงเข้าตา ในส่วนนี้เราสามารถใช้น้ำยาล้างตาประมาณ 4-5 หยด เพื่อเป็นการชะล้างเอาสิ่งสกปรกจากดวงตา แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณดวงตาให้สิ่งสกปรกออกไป หากไม่หายหรือมีอาการอื่นใดมากกว่านี้รีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที
สุนัขพันธุ์ปอมเมเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์ที่อาจเกิดปัญหากับเรื่องของดวงตาได้ คือมักจะพบอาการที่ดวงตาเป็นฝ้า หรือลักษณะคล้ายต้อ ตรงส่วนนี้เจ้าของสุนัขต้องมีการสังเกตสุนัขของตนว่า ลูกตาของสุนัขมีฝ้าที่เป็นเยื่อบางๆปิดบังบริเวณดวงตาของสุนัขหรือไม่ หากเราพบเห็นแต่เนิ่นๆ การรักษาก็จะง่ายขึ้น
8.การดูแลฟัน
โดยปกติฟันของสุนัขจะผุยากมาก แต่ที่จะพบเห็นบ่อยก็เป็นเรื่องของอาการเหงือกอักเสบ อันเกิดจากความไม่สะอาดของฟันสุนัข ที่มีการหมักหมมคราบอาหารในช่องปาก ทำให้มีคราบสีเหลืองหรือที่เรียกว่าหินปูนติดอยู่บริเวณฟันของสุนัข ซึ่งจะลุกลามไปสู่เหงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุด
วิธีการป้องกันการเกิดคราบหินปูนที่จะเกิดกับสุนัขก็คือ ควรให้สุนัขได้กินอาหารเม็ดแห้ง เพราะเม็ดอาหารเหล่านี้จะเข้าไปขัดทำความสะอาดเคลือบฟันได้ หรืออาจให้แทะกระดูกเทียมที่ทำมาจากวัสดุต่างๆที่ช่วยขัดฟัน ถ้าจะให้ได้ผลดีจริงๆควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้ตรวจฟันทุกปี
9.การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายมากๆ หรือใช่พื้นที่เยอะๆ ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับปอมเมอเรเนียน แต่เราควรหันมาใส่ใจสักนิด ควรเริ่มพาสุนัขออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กเพราะจะสามารถควบคุมเวลาในการออกกำลังกายไ
ด้ ควรให้เดินเล่นวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 นาที ถ้าปล่อยให้วิ่งเล่นกลางแจ้งนานเกินไป(โดยเฉพาะเวลาที่แดดจัด)อาจทำให้สุนัขเกิดอากา
รช็อค อาการนี้อาจส่งผลให้สุนัขเสียชีวิตได้
การนำสุนัขออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้สุนัขท้องผูก และสามารถป้องกันโรคได้อีกหลายๆชนิด การที่สุนัขได้วิ่งด้วยความเร็วและสนุกสนาน มีผลดีต่อหัวใจ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ต่อมขับต่างๆ ได้อุ่นเครื่องจนร้อน เมื่อกลับจากการออกกำลังกายก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งถ้าได้อาหารที่ถูกต้องยิ่งทำให้สุนัขมีสัดส่วนที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงมันจะมี step การเคลื่อนไหวที่ดี และสวยงาม อย่างไรก็ดีไม่ควรให้สุนัขออกกำลังกายหลังจากที่กินอาหารอิ่มเต็มที่
ที่มา = http://empiredogs.multiply.com/journal/item/2
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

