วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ลูกสุนัข ท้องเสีย …เพราะอะไร? (Dogazine)

เมื่อลูกสุนัขตัวน้อย ๆ ต้องเจ็บป่วย หนึ่งในสาเหตุที่พบมากที่สุดก็คือ ปัญหาเรื่อง “ท้องเสีย”  ซึ่งพบได้ทั้งแบบรุนแรงน้อยและรุนแรงมากจนถึงขั้นเสียชีวิต วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันค่ะว่า การที่ลูกสุนัขท้องเสียนั้น มีสาเหตุจากอะไรได้บ้าง และควรจะทำการรักษาอย่างไร
         ลักษณะการถ่ายอุจจาระของลูกสุนัข ที่เราสามารถพบได้มีดังนี้
          อุจจาระเป็นก้อนปกติ (Normal log)
          อุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea)
          อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
          อุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลมีเลือดปน (Brown watery diarrhea with blood)
         ทั้งนี้ เวลาที่ลูกสุนัขมีอาการท้องเสีย บางตัวอาจยังร่าเริงและกินอาหารได้ แต่บางตัวก็อาจมีอาการซึม เบื่ออาหาร และอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งถ้าเป็นในกรณีหลังนี้ควรรีบพาเขาไปพบสัตวแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ
         คราวนี้เรามาลองดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ลูกสุนัขท้องเสียนั้นมีอะไรได้บ้าง
1. ท้องเสียจากการมีปรสิตในทางเดินอาหาร
         สาเหตุของอาการท้องเสียในลูกสุนัขที่พบได้บ่อยสาเหตุหนึ่งก็คือ เกิดจากเชื้อบิดในทางเดินอาหาร (Coccidia และ Giardia) ซึ่งปกติเราสามารถพบเชื้อบิดเหล่านี้ได้ในทางเดินอาหารของลูกสุนัขที่มีสุขภาพดี แต่เมื่อไรก็ตามที่ลูกสุนัขเกิดความเครียด เช่น เครียดจากการเดินทางไกล ต้องย้ายบ้านใหม่ ก็จะมีผลทำให้เชื้อบิดเหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องเสียได้ค่ะ
         สำหรับการวินิจฉัยโรค สามารถทำได้โดยการนำอุจจาระไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อเหล่านี้อยู่ และสามารถทำการรักษาได้โดยให้ยาปฏิชีวนะจำพวก Metronidazole
2. ท้องเสียแบบอุจจาระเป็นก้อนนิ่มกึ่งเหลว (Pudding diarrhea) 
         อาการท้องเสียแบบเป็นอุจจาระก้อนนิ่มกึ่งเหลว อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
          เปลี่ยนนมหรืออาหารที่ลูกสุนัขกินอย่างกะทันหัน
          ให้กินอาหารปริมาณเยอะเกินไป
          มีความเครียดเหนี่ยวนำให้เกิดอาการท้องเสีย
         ซึ่งอาการท้องเสียแบบนี้ ลูกสุนัขมักจะยังร่าเริงและกินอาหารได้ปกติ ฉะนั้นเมื่อพบว่าลูกสุนัขมีลักษณะอุจจาระแบบนี้ ก็ควรลองมองหาสาเหตุและกำจัดสาเหตุนั้นออกไป ร่วมกับให้ยาจำพวก Kaolin / Pectin
3. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาล (Brown watery diarrhea)
         การที่ลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้นับว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรง และลูกสุนัขมักมีอาการป่วยร่วมด้วย เช่น อาเจียน ปวดท้อง มีภาวะร่างกายขาดน้ำ จนถึงอาจเสียชีวิตได้ มักเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำได้โดยการงดอาหาร และป้อนน้ำเกลือแร่ทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป หลังจากนั้นให้รีบนำลูกสุนัขพบสัตวแพทย์โดยเร็ว เพราะจำเป็นจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อ และในรายที่ขาดน้ำรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดด้วย
4. ท้องเสียแบบอุจจาระเหลวเป็นน้ำสีน้ำตาลและมีเลือดปน
         ถ้าลูกสุนัขท้องเสียแบบนี้ ต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะลูกสุนัขอาจเสียชีวิตได้ ภายใน 24-48 ชั่วโมง ท้องเสียแบบนี้มักเกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสลำไส้อักเสบ (Parvovirus และ Coronavirus) และมักเกิดในลูกสุนัขที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค 
         เพราะฉะนั้น หากเราเริ่มเลี้ยงลูกสุนัขสักตัว เราจึงควรที่จะต้องทำการถ่ายพยาธิและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนตามที่สัตวแพทย์แนะนำ และเมื่อใดก็ตามที่ลูกสุนัขมีอาการถ่ายเหลวก็ควรที่จะต้องรีบหาสาเหตุเพื่อแก้ไข และพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำหรือทำการรักษาอย่างเร่งด่วนนะคะ ก่อนที่จะต้องเสียเจ้าตัวเล็กไปก่อนวัยอันควร


ที่มา http://fypom.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82-%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

อาหารอันตรายสำหรับน้องหมา

รายการอาหารข้างล่างนี้เป็นรายชื่อที่เป็นอันตรายกับน้องหมา
และอาจรวมถึงน้องแมวก็ได้นะคะ
(แอบกระซิบ) อ่านรายการข้างล่างแล้วก็แอบสะดุ้งค่ะ
ตายล่ะ!อี๊ดให้น้องหมาที่บ้านกินเกือบทุกอย่างเลยค่ะ
แบบว่าคนกินอะไร หมาก็กินด้วย คนชิ้นนึง หมาชิ้นนึง
ต่อไปคงต้องระวังแล้วล่ะค่ะ…

Choclate ( Deadly ) เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง
อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ
ช็อคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษ
น้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน
ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า

Bones ( Dangerous to deadly ) เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น
สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป
แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นๆเป็นอันตราย
อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร
ถ้าไปทำปัญหาให้กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก
อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันที
หากสังเกตเห็นสุนัขมีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก
หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ

Liver ( Dangerous ) เนื่องจากตับมีไวตามิน A มาก
มีประโยชน์ต่อสุนัข
แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก
ถ้าสุนัขได้รับไวตามินAจากอาหารเสริมเพียงพอตามกำหนดแล้ว
ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก
Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous ) เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก
เป็ด ไก่ ที่ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้
จะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้

Raw eggs ( Dangerous ) ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง

แต่ให้ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัว
ที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก

Onion ( Dangerous ) หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง

ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ
ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์
ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม
หัวใจเต้นเร็ว (เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemia)

Milk ( Disagreeable ) ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose

ซึ่งในสุนัขบางตัวไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้
ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โยเกิรต
แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง
ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้นไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที

Pork ( Disagreeable ) เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ

ถ้าให้สุนัขกินมากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน
นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วย

Mushroom ( Disagreeable to Deadly ) เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข

แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ไม่ควรให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และกลิ่นของเห็ด
เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ
ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้
ขอบคุณ Thaipomeranian.com

โรคประจำที่พบบ่อยในปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)

สุนัขแต่ละพันธุ์มีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป เช่น พันธุ์โกลเด้น ก็มีปัญหาโรคข้อสะโพกเสื่อม คอกเกอร์ สเปเนียล ก็พบปัญหาเรื่องโรคหูอักเสบ พูเดิ้ลก็มีปัญหาโรคหัวใจโต ดัลเมเชี่ยนก็เจอโรคหูหนวก ดัชชุนก็มีปัญหาโรคหมอนรองกระดูก ฯลฯ ปอมเมอเรเนียนก็มีปัญหาเหมือนกัน โดยมี 4 โรคที่ปอมเมอเรเนียนพึงสังวรไว้ คือ
1. โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือสุนัขปอมเมอเรเนียน มีอากรเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด
วิธีป้องกัน
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมของเราอ้วนเกินไป
- อย่าปล่อยให้เจ้าปอมเมอเรเนียนโดดลงจากที่สูง
- ไม่ควรปล่อยให้ สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์
- อย่าเลี้ยงสุนัขปอมเมอเรเนียนในพื้นลื่นๆ เช่น พื้นหินขัด, หินอ่อน หรือแกรนิต
2. โรคหลอดลมตีบ เป็นอีกโรคมักพบบ่อยๆในปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น
วิธีป้องกัน
อย่าปล่อยให้สุนัขปอมเมอเรเนียนอ้วนเกินไป พยายามอย่าให้ปอมเมอเรเนียนออกกำลังกายมากในวันที่ ๆ อากาศร้อนและชื้นเกินไป
ใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนที่จะใช้สายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ
3. ปัญหาโรคขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พบบ่อยในปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA, ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา เรียกว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน
วิธีป้องกัน
ควรรีบพาสุนัขที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อรีบแก้ปัญหาโดยเร็ว
4. โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือนสุนัขพันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป่
วิธีแก้ไข
ผ่าตัดแก้ไขหนังตาม้วนเข้า
ขอบคุณข้อมูลจาก สื่อรักสัตว์เลี้ยง

10 เรื่องของ ปอมเมอเรเนียน ที่อยากให้คุณรู้


          1. แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับต้นกำเนิดสายพันธุ์ แต่เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่อยู่ในตระกูลสปิทซ์ (Spitz) ซึ่งสุนัขสายพันธุ์ต่าง ๆ ในกลุ่มนี้ จะมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันคือ มีเส้นขนที่ยาวและหนา ส่วนหางม้วยเข้าหาแผ่นหลัง
          2. ชื่อสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนนั้น ตั้งตามชื่อแคว้นปอมเมอเรเนีย ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีและโปแลนด์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แคว้นปอมเมอเรเนีย ไม่ได้เป็นถิ่นกำเนิดของสุนัขสายพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน แต่เป็นถิ่นที่นิยมเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ไว้ใช้งานมาตั้งแต่สมัยโบราณ
          3. เห็นตัวเล็กน่ารักแบบนี้ เชื่อไหมว่า ปอมเมอเรเนียน ในอดีตเป็นสายพันธุ์สุนัขใช้งานที่มีน้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม จนเมื่อชาวยุโรปเริ่มนิยมเลี้ยง ปอมเมอเรเนียน ในฐานะสัตว์เลี้ยงประจำบ้านมากขึ้น อดีตหมาใหญ่ก็ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 10 กิโลกรัม และค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือประมาณ 3 กิโลกรัม ดังที่เห็นในปัจจุบัน
          4. ปอมเมอเรเนียน ได้เข้าสู่สังคมชั้นสูงแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษเป็นครั้งแรกโดยการนำเข้าของาชินีชาร์ล็อต มเหสีของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ซึ่งสุนัข ปอมเมอเรเนียน ในสมัยนั้นยังคงเป็นสุนัขนาดกลาง หน้าตาไม่ได้น่ารักจิ้มลิ้มอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แต่เมื่อปอมเมอเรเนียน ได้ปรากฎตัวในฐานะสุนัขของพระราชินี กลุ่มคนชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษจึงเริ่มให้ความสำคัญกับสุนัขสายพันธ์นี้เพิ่มมากขึ้น
          5. Marco เป็นชื่อของปอมเมอเรเนียนตัวน้อยที่เป็นดาวเด่นของราชวงศ์อังกฤษในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ซึ่งได้มาเมื่อครั้งที่ พระองค์เสด็จไปเยือนนครฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ในปี 1888 Macro เป็นสุนัขขนาดเล็กกะทัดรัด ขนฟู ความน่ารักของ ปอมปอมตัวน้อยเป็นจุดเริ่มต้นของการเพาะพันธุ์ปอมเมอเรเนียนขนาดเล็กขึ้นอย่างเป็นระบบและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
          6. เมื่อได้รับเกียติให้เข้าสู่สังคมชั้นสูง ปอมเมอเรเนียนจึงได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ทั้งในด้านขนาดร่างกายและกิริยาท่าทาง น้องหมาผู้มีเกียรติที่อยู่เคียงข้างบรรดาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีชาวอังกฤษนั้นจะเชิดคอสูง ยืนด้วยปลายเท้า ดูมีบุคลิกสมกับเป็นผู้ดีด้วยเช่นกัน
          7. ถึงแม้จะเคยเป็นน้องหมาผู้ดีในแวดวงชนชั้นสูง หรือจะเป็นคุณหนูตัวน้อยประจำบ้าน แต่ปอมเมอเรเนียนก็ไม่เคยลืมสัญชาตญาณการเป็นสุนัขใช้งานในเขตหนาว พวกเขายังคงคล่องแคล่ว ว่องไว ปรับตัวได้ดีเยี่ยม กล้าหาญและซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก
          8. ปอมเมอเรเนียนสามารถเข้ากับเด็กและสุนัขสายพันธุ์อื่นได้เป็นอย่างดี แต่หากครอบครัวไหนมีเจ้าปอมน้อยเป็นเจ้าถิ่น การรับสมาชิกใหม่ก็ควรให้เวลาน้องปอมได้ปรับตัวระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ด้วยขนาดร่างกายที่เล็กบางของปอมเมอเรเนียน ก็อาจได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกับเพื่อนต่างขนาดได้ง่าย ในระยะแรกที่พบหน้ากันเจ้าของจึงควรเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
          9. ปอมเมอเรเนียนจะมีการผลัดขนจำนวนมากเป็นประจำทุกปี โดยสุนัขเพศผู้จะผลัดขนปีละครั้ง ส่วนเพศเมียปีละสองครั้งก่อนรอการเป็นสัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนจะเลือกเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้
          10. ปัญหาสุขภาพของน้องหมาที่คนรักปอมฯ ควรจำใส่ใจ ได้แก่ ปัญหากระดูกสะบ้าเคลื่อน หลอดลมตีบ ขนร่วงจากสาเหตุต่าง ๆ ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และบางครั้งอาจพบปัญหาฟันร่วงก่อนวัยอันควร
          เพราะความรักจากเพียงแรกพบอาจไม่เพียงพอสำหรับการอยู่ร่วมกัน ยังต้องอาศัยความเข้าใจ ความเอื้ออาทร รวมไปถึงประสบการณ์จากการได้ใช้เวลาร่วมกัน ที่จะช่วยส่งความรู้สึกฝากไปถึงเจ้าปอมเมอเรเนียนตัวน้อย ให้ได้รับรู้ว่าคนที่เขารักมากที่สุดก็รักเขามากเช่นกัน

สุนัขพันธุ์ปอมเมเรเนียน2

ปอมเมอเรเนียน
ตัวเล็ก เห่าเก่ง และสวยงาม
     
ลักษณะทั่วไป
     สุนัขปอมเมอเรเนียนหรือเรียกสั้นๆ ว่า น้องปอมอยู่ในกลุ่ม Toy Group มีขนาดกระทัดรัด หลังสั้น ขนชั้นล่างอ่อนนุ่ม แน่นทึบ ขนชั้นนอก ยาว ฟู มีมาก ค่อนข้างหยาบ ตำแหน่งโคนหางสูง ขนหางแน่น เป็นพวง หางวางราบบนหลัง ปอมส่วนใหญ่ ท่าทางตื่นตัว ร่าเริง อยากรู้อยากเห็น แสดงความฉลาดให้เห็นได้เสมอ มีย่างก้าวที่คล่องแคล่ว สง่างาม และมั่นคง
ความเป็นมา
     บรรพบุรุษของน้องปอมย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นน้องปอมในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์
     ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น
      แสดงว่าสุนัขพันธุ์ปอมนี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก
     ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์ ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมฯ ที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
ลักษณะนิสัย
     น้องปอมส่วนใหญ่มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
การดูแล
 
      การที่จะรักษาขนของสุนัขปอมเมอเรเนียน ให้สวยงามนั้นทำได้ง่ายมาก เจ้าของสุนัขใหม่ๆส่วนใหญ่จะเชื่อว่า จะต้องอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์ และต้องคอยแปรงขนตลอด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด และจะทำให้ขนของเค้าเสียอีกด้วย
      การอาบน้ำบ่อยเกินไป จะทำให้ขนของปอมเมอเรเนียนแห้ง บาง และทำให้ขนร่วงตลอดเวลา การใช้โลชั่น และน้ำยาทำความสะอาดชนิดต่างๆ ติดต่อกันก็จะทำให้ผิวหนังอักเสบได้ ส่วนใหญ่แม้ว่าขนชั้นนอกจะสกปรกแล้ว แต่ขนชั้นในก็จะยังคงสะอาดอยู่ ด้งนั้นการแปรงขน เพียงสัปดาห์ละครั้ง และใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่อุ่นๆ ลูบขน จากนั้นจึงเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอุ่นๆ ซึ่งบิดพอหมาดๆ ก็นับว่า เพียงพอที่จะทำให้ขน ของปอมเมอเรเนียนอยู่ในสภาพดีแล้ว
 
 
 
      แชมพูที่ใช้อาบน้ำให้สุนัขควรเป็นแชมพูที่ผลิตโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อการระคายเคืองของผิวหนังและสภาพขน ในขณะอาบน้ำอาจจะใช้สำลีอุดรูหูทั้งสองข้างก่อนอาบ หรือใช้มือกดใบหูทั้งสองข้างให้หลุบลง เวลาอาบน้ำควรราดน้ำให้เปียกทั่วตัวก่อนแล้วจึงเทแชมพูลงไปแล้วเกาให้ทั่วลำตัว หลังจากนั้นก็ใช้น้ำล้างสบู่ออกให้สะอาดหมดจด เมื่ออาบเสร็จก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งพร้อมกับแปรงขนทุกครั้ง การเช็ดตัวให้แห้งเป็นการป้องกันความอับชื้นซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค และช่วยป้องกันโรคปอดบวมได้ ส่วนในด้านของการออกกำลังกายนั้น การออกกำลังกายมากๆ หรือใช่พื้นที่เยอะๆ ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับปอมเมอเรเนียน แต่เราควรหันมาใส่ใจสักนิด ควรเริ่มพาปอมฯออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กเพราะจะสามารถควบคุมเวลาในการออกกำลังกายไ ด้ ควรให้เดินเล่นวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 นาที ถ้าปล่อยให้วิ่งเล่นกลางแจ้งนานเกินไป(โดยเฉพาะเวลาที่แดดจัด)อาจทำให้สุนัขเกิดอาการช็อค อาการนี้อาจส่งผลให้สุนัขเสียชีวิตได้
      การพาน้องปอมไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ปอมท้องไม่ผูก และสามารถป้องกันโรคได้อีกหลายๆชนิด การที่สุนัขได้วิ่งด้วยความเร็วและสนุกสนาน มีผลดีต่อหัวใจ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ต่อมขับต่างๆ ได้อุ่นเครื่องจนร้อน เมื่อกลับจากการออกกำลังกายก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งถ้าได้อาหารที่ถูกต้องยิ่งทำให้สุนัขมีสัดส่วนที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงมันจะมี step การเคลื่อนไหวที่ดี และสวยงาม อย่างไรก็ดีไม่ควรให้สุนัขออกกำลังกายหลังจากที่กินอาหารอิ่มเต็มที่
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
     เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่มีเวลาเอาใจใส่ดูแลเรื่องความสวยงามของสุนัข จำเป็นต้องมีการดูแลตัดแต่งขนของสุนัขอยู่เสมอเพื่อความสวยงาม นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีพื้นที่ในการเลี้ยงที่จำกัด
ข้อควรจำ
N/A
     
มาตรฐานสายพันธุ์
   
 
ขนาด
 น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง  
ศีรษะ
 ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)  
คอ
 คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง 
ลำตัวหน้า
 ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก 
ลำตัวหลัง
 ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก  
ขน
 สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด  
สีขน
 สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
 
 
ที่มา : puppydogweb.com
ภาพประกอบ : puppydogweb.com
en.wikipedia.org

สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์

เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง

มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว

จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)
ที่มา http://women.sanook.com/pets/breed/dogs_44563.php

วิธีดูเลน้องปอมเมอเรเนียน







1.อาบน้ำปอมอย่างถูกวิธีการที่จะรักษาขนของสุนัขปอมเมอเรเนียนให้สวยงามนั้นทำได้ง่ายมาก เจ้าของสุนัขใหม่ๆส่วนใหญ่จะเชื่อว่าจะต้องอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์และต้องคอยแปรงข
นตลอด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและจะทำให้ขนของเค้าเสียอีกด้วย

การอาบน้ำบ่อยเกินไปจะทำให้ขนของปอมเมอเรเนียนแห้ง บาง และทำให้ขนร่วงตลอดเวลา การใช้โลชั่นและน้ำยาทำความสะอาดชนิดต่างๆติดต่อกันก็จะทำให้ผิวหนังอักเสบได้ ส่วนใหญ่แม้ว่าขนชั้นนอกจะสกปรกแล้วแต่ขนชั้นในก็จะยังคงสะอาดอยู่ ด้งนั้นการแปรงขนเพียงสัปดาห์ละครั้งและใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่อุ่นๆ ลูบขน จากนั้นจึงเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอุ่นๆ ซึ่งบิดพอหมาดๆ ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้ขนของปอมเมอเรเนียนอยู่ในสภาพดีแล้ว

ลูกสุนัข เราไม่ควรอาบน้ำให้มันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดให้แห้งเช็ดความสกปรก หรือใช้แปรงและหวีขนเบาๆ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำความสะอาดลูกสุนัข

การอาบน้ำลูกสุนัขควรเริ่มเมื่ออายุได้ 3 เดือนขึ้นไป ควรพิจารณาว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใดมีเห็บหมัดติดมาด้วยหรือไม่ หากมีก็อาบน้ำให้ลูกสุนัขเพื่อป้องกันโรคผิวหนังและการระบาดของเห็บหมัด

สุนัขโต สามารถอาบน้ำได้ทุกๆ 1-2 สัปดาห์หรือเมื่อคุณเห็นว่ามีเนื้อตัวที่สกปรก การอาบน้ำควรอาบในเวลากลางวันที่มีแดดออก แต่ไม่ถึงกับเป็นแดดที่จัดเกินไป ควรเป็นแสงแดดอ่อนๆ ไม่หนาว ไม่มีฝนตก คือสามารถให้สุนัขผึ่งตัวให้แห้งหรือใช้เครื่องเป่าขนของสุนัขให้แห้งโดยเลือกระดับค
วามร้อนต่ำ

แชมพูที่ใช้อาบน้ำให้สุนัขควรเป็นแชมพูที่ผลิตโดยเฉพาะ เพราะจะไม่ส่งผลกระทบต่อการระคายเคืองของผิวหนังและสภาพขน ในขณะอาบน้ำอาจจะใช้สำลีอุดรูหูทั้งสองข้างก่อนอาบ หรือใช้มือกดใบหูทั้งสองข้างให้หลุบลง เวลาอาบน้ำควรราดน้ำให้เปียกทั่วตัวก่อนแล้วจึงเทแชมพูลงไปแล้วเกาให้ทั่วลำตัว หลังจากนั้นก็ใช้น้ำล้างสบู่ออกให้สะอาดหมดจด เมื่ออาบเสร็จก็ต้องเช็ดตัวให้แห้งพร้อมกับแปรงขนทุกครั้ง การเช็ดตัวให้แห้งเป็นการป้องกันความอับชื้นซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค และช่วยป้องกันโรคปอดบวมได้


2.การดูแลขนลูกสุนัข

ในขณะที่ลูกสุนัขปอมเมอเรเนียนมีอายุอยู่ระหว่าง 6-8 สัปดาห์ ขนของเค้าจะหนาปุกปุยจนแทบมองไม่เห็นใบหู เมื่ออายุได้ 3 เดือนขนจะมีลักษณะขยุกขยุยและจะสลัดขนชุดแรกเพื่อที่จะเตรียมสลัดขนชุดที่สองตอนอายุ
ได้ 4-5 เดือน หลังจากสลัดขนชุดที่สองแล้ว ขนของปอมเมอเรเนียนจะสั้น และจะเริ่มปุกปุยอีกครั้งเมื่ออายุราว 6 เดือน เมื่อครบ 10 เดือนขนจะเริ่มหนาและชี้ออก ขณะที่ผิวสัมผัสและสีของเส้นขนจะค่อยๆ ปรับสภาพจนเข้าที่และจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ

อุปกรณืเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นในการดูแลรักษาขนของลูกสุนัขให้อยู่ในสภาพดี คือแปรงสำหรับแปรงขนสุนัข ก่อนอื่นให้ใช้หวี หวีขนที่ติดพันกันออกเสียก่อน ถ้าหากคุณได้แปรงขนเค้าเป็นประจำ ลูกสุนัขก็จะมีขนที่สุขภาพดี นุ่มสลวยไม่พันกัน



3.การแปรงขนต้องเลือกขนแปรง

สำหรับปอมเมอเรเนียนนั้นเป็นขนแบบสองชั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับขนของมันพอสมควร เพราะขนของปอมเมอเรเนียนเป็นขนที่พันกันได้ง่าย เราควรใช้แปรงซี่ห่างในการแปรง หวีวันละครั้ง การแปรงขนให้แปรงจากบริเวณกระหม่อมลงไปที่หางแล้วแปรงย้อนกลับมาที่ศีรษะอีกครั้ง เพื่อให้ขนฟูตั้งชัน จากนั้นจับเค้านอนบนตักแล้วแปรงขนบริเวณท้องและขา การหวีต้องหวีให้ถึงโคนขน การหวีแบบนี้จะสามารถขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อยู่บริเวณใต้ขนออกมา ทำให้ขนเก่าร่วงออกไป พร้อมที่จะให้ขนใหม่แทนที่ ทำให้ปอมเมอเรเนียนของคุณมีขนที่หนานุ่ม และการแปรงขนยังมีผลดีต่อสุขภาพของสุนัขอีกด้วยเพราะจะป็นการนวดต่อมน้ำมันที่โคนขนข
ับน้ำมันออกมาเพื่อเคลือบขนได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย







4.การตัดแต่งขน

ขนของปอมเมอเรเนียนจะต้องตัดให้สั้นเรื่อยลงไปถึงโคนหาง เมื่อตัดแล้วหางจะวางราบอยู่บนแผ่นหลัง ขนที่หร็อมแหร็มจะต้องตัดให้สั้นเสมอกัน ขนยาวๆบางส่วนบริเวณสองข้างของอวัยวะขับถ่ายจะต้องตัดออกเพื่อสุขอนามัยที่ดี

ขนที่เท้าหน้าควรตัดให้สั้นเหมือน"เท้าแมว"ซึ่งมีลักษณะกลมมนและเรียบ ขนสั้นๆที่ขาหน้าควรตัดเฉพาะด้านข้างและด้านหลัง ด้านหน้าไม่ควรตัด ส่วนขนที่ขาหลังก็ตัดในลักษณะเดียวกับขาหน้า โดยตัดให้สั้นถึงข้อเท้าข้อแรก

ส่วนที่ยากที่สุดในการตัดขนก็คือ"ใบหู"ให้จับใบหูด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ โดยใช้เล็บป้องกันส่วนที่เป็นเนื้อเยื้อเอาไว้ให้มั่น แล้วจึงใช้กรรไกรปลายทู่ตัดขนที่ยื่นออกมาจากปลายเล็บไปตามขวาง โดยตัดขนด้านในของใบหูประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว ส่วนด้านนอกตัดออกประมาณเศษหนึ่งส่วนสามหรือครึ่งนิ้ว

ไม่ควรปล่อยให้ปอมเมอเรเนียนมีหนวดมากเกินไป เพราะจะดูไม่สะอาดและไม่น่ารักเท่าที่ควร วิธีการตัดหนวดให้ใช้นิ้วต่างๆของคุณบังตาเจ้าตัวเล็กเอาไว้ แล้วค่อยๆตัดเล็มออกด้วยกรไกรแบบปลายทู่เพื่อป้องกันอันตรายหากเค้าเกิดสบัดหัวขึ้นม
า บริเวณตาและใต้ขากรรไกรควรระมัดระวังมาเป็นพิเศษ



5.การตัดเล็บ

สุนัขที่เลี้ยงโดยปล่อยให้วิ่งเล่นตามสนามหญ้าหรือพื้นปูน โดยทั่วไปแล้วเล็บจะสึกหรอไปเองจากการเสียดสีกับพื้น ส่วนสุนัขที่เลี้ยงในบ้านอย่างปอมเมอเรเนียนเล็บจะมีโอกาสยาวมากกว่า การตัดเล็บควรจะตัดหลังจากการอาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บที่เปียกน้ำอยู่จะอ่อน และจะตัดง่ายกว่าธรรมดา ควรใช้กรรไกรสำหรับตัดเล็บสุนัขโดยเฉพาะ วิธีการตัดที่ทำได้ง่ายและปลอดภัยสำหรับมือใหม่หัดตัดคือพยายามตัดเฉพาะที่ปลายเพียง
เล็กน้อย ให้ตัดที่ละนิดเข้าไป ไม่ควรเกิน 3 มิลลิเมตร ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล็บเพราะส่วนนั่นคือส่วนที่มีเลือดมาหล่อเลี้
ยง แต่ถ้าเผลอไปโดนเข้าก็ให้ใช้สำลีชุบทิงเจอร์ไอโอดีนกดไว้ที่ปลายเล็บแน่นๆ สักพัก เลือดก็จะหยุดไหลเอง



6.การดูแลหู

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่หูตั้งจึงไม่ต้องดูแลเอาใจใส่หูเท่าที่ควร หากสังเกตแล้วว่าสุนัขมีหูที่สกปรกมากแล้ว ก็ควรใช้สำลี หรือผ้านุ่มๆเช็ดบริเวณใบหู และรูหูส่วนนอกๆได้เป็นประจำ หากพบว่ามีสิ่งสกปรก หรือเห็บหมัด เกาะติดอยู่ในช่องหูซึ่งเอาออกอยาก ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำยาทำความสะอาดหูสุนัข โดยการหยอดน้ำยานี้ลงไปในหูของสุนัข ทิ้งไว้สักประมาณ 5 นาที สิ่งสกปรกต่างๆจะอ่อนตัวลง และสามารถใช้แท่งสำลีเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย การทำความสะอาดหูควรทำหลังจากที่อาบน้ำให้กับสุนัขแล้ว เพื่อเป็นการตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลืออยู่ในรูหูอยู่หรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เพื่อเป็นการป้องกันโรคหูอักเสบด้วย แต่อย่าพยายามทำความสะอาดลึกลงไปที่หูชั้นในเป็นอันขาด เพราะเป็นบริเวณที่สำคัญและอ่อนบาง ควรให้สัตวแพทย์เป็นคนดูแลจะดีกว่า



7.การดูแลดวงตา

สุนัขที่ดีจะมีแววตาที่แจ่มใส ไม่ขุ่นมัว แดงช้ำ อักเสบ หรือมีขี้ตาเกรอะกรัง ถ้าสังเกตเห็นว่าสุนัขมีอาการตาแดงและมีน้ำตาไหลเป็นระยะๆ อาจเกิดจากการอักเสบเพราะผงเข้าตา ในส่วนนี้เราสามารถใช้น้ำยาล้างตาประมาณ 4-5 หยด เพื่อเป็นการชะล้างเอาสิ่งสกปรกจากดวงตา แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณดวงตาให้สิ่งสกปรกออกไป หากไม่หายหรือมีอาการอื่นใดมากกว่านี้รีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที

สุนัขพันธุ์ปอมเมเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์ที่อาจเกิดปัญหากับเรื่องของดวงตาได้ คือมักจะพบอาการที่ดวงตาเป็นฝ้า หรือลักษณะคล้ายต้อ ตรงส่วนนี้เจ้าของสุนัขต้องมีการสังเกตสุนัขของตนว่า ลูกตาของสุนัขมีฝ้าที่เป็นเยื่อบางๆปิดบังบริเวณดวงตาของสุนัขหรือไม่ หากเราพบเห็นแต่เนิ่นๆ การรักษาก็จะง่ายขึ้น



8.การดูแลฟัน

โดยปกติฟันของสุนัขจะผุยากมาก แต่ที่จะพบเห็นบ่อยก็เป็นเรื่องของอาการเหงือกอักเสบ อันเกิดจากความไม่สะอาดของฟันสุนัข ที่มีการหมักหมมคราบอาหารในช่องปาก ทำให้มีคราบสีเหลืองหรือที่เรียกว่าหินปูนติดอยู่บริเวณฟันของสุนัข ซึ่งจะลุกลามไปสู่เหงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุด

วิธีการป้องกันการเกิดคราบหินปูนที่จะเกิดกับสุนัขก็คือ ควรให้สุนัขได้กินอาหารเม็ดแห้ง เพราะเม็ดอาหารเหล่านี้จะเข้าไปขัดทำความสะอาดเคลือบฟันได้ หรืออาจให้แทะกระดูกเทียมที่ทำมาจากวัสดุต่างๆที่ช่วยขัดฟัน ถ้าจะให้ได้ผลดีจริงๆควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ให้ตรวจฟันทุกปี



9.การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายมากๆ หรือใช่พื้นที่เยอะๆ ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับปอมเมอเรเนียน แต่เราควรหันมาใส่ใจสักนิด ควรเริ่มพาสุนัขออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กเพราะจะสามารถควบคุมเวลาในการออกกำลังกายไ
ด้ ควรให้เดินเล่นวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 นาที ถ้าปล่อยให้วิ่งเล่นกลางแจ้งนานเกินไป(โดยเฉพาะเวลาที่แดดจัด)อาจทำให้สุนัขเกิดอากา
รช็อค อาการนี้อาจส่งผลให้สุนัขเสียชีวิตได้


การนำสุนัขออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้สุนัขท้องผูก และสามารถป้องกันโรคได้อีกหลายๆชนิด การที่สุนัขได้วิ่งด้วยความเร็วและสนุกสนาน มีผลดีต่อหัวใจ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ต่อมขับต่างๆ ได้อุ่นเครื่องจนร้อน เมื่อกลับจากการออกกำลังกายก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งถ้าได้อาหารที่ถูกต้องยิ่งทำให้สุนัขมีสัดส่วนที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงมันจะมี step การเคลื่อนไหวที่ดี และสวยงาม อย่างไรก็ดีไม่ควรให้สุนัขออกกำลังกายหลังจากที่กินอาหารอิ่มเต็มที่

ที่มา = http://empiredogs.multiply.com/journal/item/2